คอมพิวเตอร์คืออะไร
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์
(electrinic
device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้
ทั้งตัวเลข ตัวอักษร
หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง
ๆ
โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ
ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน
ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง
เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ
การฝาก-ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์
เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์
คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ
มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี
ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม
เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐาน คือ
รับข้อมูล
(Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล
(input
unit) เช่น
คีบอร์ด หรือ เมาส์
ประมวลผล
(Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลกับข้อมูล
เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ
แสดงผล
(Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์
(output
unit) เช่น
เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
เก็บข้อมูล
(Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล
เพื่อให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์แสดงขั้นตอนการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่นิยมนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานได้สารพัด แต่ผู้ที่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์จะทราบว่า งานที่เหมาะกับการนำคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างยิ่งคือการสร้าง สารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศเหล่านั้นสามารถนำมาพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ในอนาคนก็ได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ คือ
ความเร็ว (speed) คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้สามารถทำงานได้ถึงร้อยล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที
ความเชื่อถือ
(reliable) คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้จะทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่มีข้อผิดพลาด
และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ความถูกต้องแม่นยำ
(accurate) วงจรคอมพิวเตอร์นั้นจะให้ผลของการคำนวณที่ถูกต้องเสมอหากผลของการคำนวณผิดจากที่ควรจะเป็น
มักเกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรมหรือข้อมูลที่เข้าสู่โปรแกรม
เก็บข้อมูลจำนวนมาก
ๆ ได้ (store
massive amounts of information) ไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
จะมีที่เก็บข้อมูลสำรองที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันล้านตัวอักษร
และสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้าน
ๆ ตัวอักษร
ย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
(move
information) โดยใช้การติดต่อสื่อสารผ่านระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถส่งพจนานุกรมหนึ่งเล่มในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลคนซีกโลกได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที
ทำให้มีการเรียกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกันทั่วโลกในปัจจุบันว่า ทางด่วนสารสนเทศ (Information
Superhighway)
ประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
(supercomputer)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
แต่จะมีราคาแพงที่สุด
รวมทั้งต้องอยู่ทีห้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิ
และปราศจากฝุ่นละออง
ทำให้ต้องเป็นองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น
จึงสามารถจัดหาเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้งานได้
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้จำนวนหลาย
ๆ คน นำมาใช้ในการคำนวณที่ซับซ้อน
เช่นการคำนวณทางวิทยาศาสตร์
การบิน อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นต้น
รวมทั้งพบมากในวงการวิจัยในห้องปฎิบัติการต่างๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชน
เมนเฟรม (Mainframe)
เครื่องเมนเฟรมเป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วๆไป
จัดเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพรองลงมาจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์
ซึ่งในช่วงปลาย
ค.ศ 1950 บริษัท IBM จัดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์
โดยเกิดจากการมีส่วนแบ่งตลาดในการขายเครื่องระดับเมนเฟรมถึง 2 ใน 3 ของผู้ใช้เครื่องเมนเฟรอทั้งหมด
เครื่องเมนเฟรมจะเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่
ต้องอยู่ในห้องที่ได้รับการอุณหภูมิ
และปราศจากฝุ่นละอองเช่นเดียวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์
มินิคอมพิวเตอร์
(Minicomputer)
เริ่มพัฒนาขึ้นใน
ค.ศ 1960 ต่อมาจากบริษัท Digital
Equipment Corporation หรือ DEC ได้ประกาศตัวมินิคอมพิวเตอร์ DEC
POP-8 (Programmed Data Processor) ในปี
ค.ศ 1965 ซึ่งได้รับความนิยมจากบริษัทหรือองค์กรที่มีขนาดกลาง
เพราะมีราคาถูกกว่าเมนเฟรมมาก
เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะใช้หลักการของมัลติโปรแกรมมิงเช่นเดียวกับเมนเฟรม
โดยจะสามารถรองรับผู้ใช้ได้ประมาณ 200 คนพร้อม
ๆ กัน
แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างเครื่องเมนเฟรมและเครื่องมินิคอมพิวเตอร์
ก็คือความเร็วในการทำงาน
เนื่องจาก
เครื่องมินิคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ช้ากว่าการควบคุมผู้ใช้งานต่าง
ๆ การะทำได้ในจำนวนที่น้อยกว่า
รวมทั้สื่อที่เก็บข้อมูลต่าง
ๆ มีความจุไม่สูงเท่าเมนเฟรม
ดังนั้นเครื่องมินิคอมพิวเตอร์จึงจัดได้ว่ามินิคอมพิวเตอร์เป็นขนาดกลาง
เวิร์คสเตชัน
(Workstation)
และไมโครคอมพิวเตอร์
(Micro
Computer)
ในการทำงานบนเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์
ผู้ใช้จะสามารถควบคุมการรับข้อมูลและดูการแสดงผลบนจอภาพได้เท่านั้น
ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์รอบข้างอื่น
ๆ ได้ แต่การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ชนิดที่มีผู้ใช้คนเดียวนั้น
จะทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์รอบข้างต่าง
ๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรับข้อมูล
หน่วยประมวลผล หน่วยแสดงผล
ตลอดจนหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกใช้โปรแกรมได้เอง
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปแย่งเวลาการเรียกใช้ข้อมูลกับผู้ใช้อื่น
(ก) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (ข) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (ค) มินิคอมพิวเตอร์ (ง) ไมโครคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เครือข่าย
(Network
computers)
เป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากไมโครคอมพิวเตอร์ โดยได้รับอิทธิพลมาจากแนวคอมพิวเตอร์อินเตอร์เนต คอมพิวเตอร์เครือข่ายหรือที่นิยมเรียกว่า NC จะถูกออกแบบให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาต่ำ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อย ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานปริมาณมาก ๆ ในองค์กรขนาดใหญ่ รวมทั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เนต
คอมพิวเตอร์เครือข่าย
คอมพิวเตอร์แบบฝัง (Embeddded computer)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝังไปในอุปกรณ์ ทำให้มองไม่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ นิยมใช้ในการทำงานเฉพาะด้านโดยควบคุมการทำงานบางอย่าง เช่น เตาอบไมโครเวฟ ระบบการเติมน้ำมัน นาฬิกาข้อมือ อุปกรณ์เล่นเกม เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
คือลักษณะทางกายของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์รอบข้าง(peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วย
หน่วยรับข้อมูล ( input unit )
หน่วยประมวลผลกลาง ( central processor unit ) หรือ CPU
หน่วยความจำหลัก
หน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit )
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (secondary storage unit )
ซอฟต์แวร์ (Software)
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทำงานใดๆ
เนื่องจากต้องมี ซอฟต์แวร์
(Software)
ซึ่งเป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงานต่าง
ๆ ตามต้องการ
โดยชุดคำสั่งหรือโปรแกรมนั้นจะเขียนขึ้นมาจาก
ภาษาคอมพิวเตอร์(Programming
Language)
ภาษาใดภาษาหนึ่ง
และมี โปรแกรมเมอร์
(Programmer)
หรือนักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์ต่าง
ๆ ขึ้นมา
ซอฟต์แวร์
สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ
ซอฟต์แวร์ระบบ
โดยส่วนมากแล้วจะติดตั้งมากับเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากซอฟต์แวร์ระบบเป็นส่วนควบคุมทำงานต่าง
ๆ ของคอมพิวเตอร์
เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการทำงานอื่น
ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการได้ต่อไป
ซอฟต์แวร์ประยุกต์
จะเป็นซอฟต์แวร์ที่เน้นในการช่วยการทำงานต่าง
ๆ ให้กับผู้ใช้
ซึ่งแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
บุคลากร
(Peopleware)
เครื่องคอมพิวเตอร์โดยมากต้องใช้บุคลากรสั่งให้เครื่องทำงาน
เรียกบุคลากรเหล่านี้ว่า
ผู้ใช้
หรือ ยูเซอร์ (user)
แต่ก็มีบางชนิดที่สามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องใช้ผู้ควบคุม
อย่างไรก็ตาม
คอมพิวเตอร์ก็ยังคงต้องถูกออกแบบหรือดูแลรักษาโดยมนุษย์เสมอ
ข้อมูลและสารสนเทศ
(Data
/ Information)
ในการทำงานต่าง
ๆ จะต้องมีข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลา
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานที่ถูกเก็บรวบรวมมาประมวลผล
เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
ซึ้งในปัจจุบันมีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นข้อมูลในการดัดแปลงข้อมูลให้ได้ประสิทธิภาพโดยแตกต่างๆระหว่างข้อมูลและ
สารสนเทศ
คือ ข้อมูล
คือ ได้จากการสำรวจจริง
แต่ สารสนเทศ
คือ
ได้จากข้อมูลไม่ผ่านกระบวนการหนึ่งก่อน
กระบวนการทำงาน
กระบวนการทำงานหรือโพรซีเยอร์ หมายถึง ขั้นตอนที่ผู้ใช้จะต้องทำตาม เพื่อให้ได้งานเฉพาะอย่างจากคอมพิวเตอร์ซึ่งผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนต้องรู้การทำงานพื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่อง ฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ ถ้าต้องการถอนเงินจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ดังนี้
- จอภาพแสดงข้อความเตรียมพร้อมที่จะทำงาน
- สอดบัตร และพิมพ์รหัสผู้ใช้
- เลือกรายการ
- ใส่จำนวนเงินที่ต้องการ
- รับเงิน
- รับใบบันทึกรายการ และบัตร
การใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติงานในส่วนต่าง ๆ นั้นมักจะมีขั้นตอนที่สลับซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานด้วย จึงต้องมีคู่มือการปฏิบัติงานที่ชัดเจน เช่น คู่มือสำหรับผู้ควบคุมเครื่อง (Operation Manual) คู่มือสำหรับผู้ใช้ (User Manual) เป็นต้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น