จริยะธรรมและความปลอดภัย
03:26 |

การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
ความเป็นส่วนตัวคือสิทธิที่อยู่ตามลำพังและสิทธิที่เป็นอิสระจากการถูกรบกวนโดยไม่มีเหตุอันควร ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสารสนเทศ
คือ สิทธิในการตัดสินใจว่าเมื่อใดข้อมูลสารสนเทศของบุคคลหนึ่ง
จะสามารถเปิดเผยให้กับผู้อื่นได้
และภายใต้ขอบเขตอย่างไร
การคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน
หรือนิติบุคคล
ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์
กฎหมายความลับทางการค้า
และกฎหมายสิทธิบัตร
ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.
2537 หมายถึง
สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด
ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน
งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไปมีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น
หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง
28
ปี
สิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร
พ.ศ.
2522 หมายถึง
หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์
หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร
ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง
17

อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer
Crime)
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น
โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก
นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน
และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเป้าหมายของอาชญากรรม
การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงและการทำลายข้อมูล
การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
การสแกมทางคอมพิวเตอร์ (computer-related
scams)

การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์
การรักษาความปลอดภัยให้ระบบสารสนเทศมีความปลอดภัย
และยังช่วยลดข้อผิดพลาด
การทำลายระบบสารสนเทศ
มีระบบการควบคุมที่สำคัญ 3 ประการ
คือ
•การควบคุมระบบสารสนเทศ
•การควบคุมกระบวนการทำงาน
•การควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา
03:00 |

อินเทอร์เน็ตนับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในยุคของสังคมข่าวสาร อย่างเช่นปัจจุบันมันเป็นอภิมหาเครือข่ายระดับโลกที่มีกำลังการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนักวิชาการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการคอมพิวเตอร์ได้คาดการเอาไว้ว่า
อินเทอร์เน็ตจะเป็นเครือข่ายเดียวที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงคนทั่วทุกมุมโลก ให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
ทำลายพรมแดนที่ขวางกั้นระหว่างประเทศ
ไร้ซึ่งคำว่าระยะทางกับการเวลามาเกี่ยวข้อง
จึงพอพิสูจน์ได้ว่า อินเทอร์เน็ต
คือ เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับยุคของโลกไร้พรมแดน
ที่กำลังทวีความสำคัญยิ่งในหน่วยงานต่างๆและวงการการศึกษารวมไปถึงบุคคลภายนอกที่สนใจอย่างแท้จริง
1.การใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อการติดต่อสื่อสาร
อภิปราย ถกเถียง
แลกเปลี่ยนและสอบถามข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นทั้งกับผู้สนใจศึกษาในเรื่องเดียวกัน หรือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ
2.การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นหาข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองวิธีใช้บริการอินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล
วิธีที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือผ่านทาง เวิลด์ ไวด์ เว็บ เพราะการที่เว็บนั้นต้องรองรับข้อมูลแบบสื่อผสม ( มัลติมีเดีย )และเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกันให้เราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย
นอกจากนี้ยังรวบรวมอื่นๆ
ทางอินเทอร์เน็ต
3.การประยุกต์อินเทอร์เน็ตทางการจัดกิจกรรมการสอนของหลักสูตรเดิม เช่น การรับส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ต การค้นคว้าข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดทำรายงานและอื่นๆ
4.การศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ซึ่งผู้สอนและผู้เรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกันการเรียนการสอนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตช่วยขจัดปัญหาการขาดแคลนผู้สอนและข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ของผู้เรียนและผู้สอน

การสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
กิจกรรมการศึกษาในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่าง
ๆ
เพราะจำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต่อการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความสัมพันธ์กันในอัตราส่วนที่ลดลงโดยพบว่าขั้นพื้นฐานจะมีจำนวนประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตมาก
จำนวนของผู้ใช้ที่มีทักษะ
หรือความสามารถในการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตกลับมีจำนวนที่ลดลง
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้วิธีการที่จะสร้างให้มีกิจกรรมเพื่อการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างได้ผล
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการวางแผนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้เป็นบริการสาธารณูปโภคของประเทศที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ ได้รับการสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัย
(Uninet) ส่วนโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาก็ได้รับการสนับสนุนจาก Schoolnet
Thailand เช่นกัน
การบริการอินเทอร์เน็ตระดับพื้นฐาน
แต่ละขั้นจะมีรูปแบบของกิจกรรมการศึกษาที่แตกต่างกัน
การใช้ระบบเครือข่ายระดับพื้นฐานคือการใช้อินเทอร์เน็ตตามโครงสร้างของสาธารณูปโภคที่มีใช้กันอยู่ในทุกแห่ง
สาเหตุที่จะทำให้
กลุ่มผู้ใช้ที่ยังไม่รู้จักเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนเจตคติมายอมรับเพื่อเข้าร่วมในการใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล
และความสามารถของอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ
ทั่วโลกด้วยเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแบ่งบริการที่มีอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ว่า
-เป็นบริการด้านการสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล
และบุคคลต่อกลุ่มบุคคล
- เป็นบริการเพื่อการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
การเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตถูกนำมาใช้เพื่อการสืบค้น
ข้อมูลมากที่สุด
ซึ่งผู้ใช้ที่มีอาชีพแตกต่างกันย่อมใช้บริการที่มีอยู่ในปริมาณต่างกัน
บ้างเป็นการสืบค้นข้อมูลที่เป็นตัวอักษร
บ้างก็เป็นข้อมูลที่นำเสนอในรูปแบบของมัลติมีเดีย
ที่ล้วนแต่แปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลแล้วทั้งสิ้น ทางด้านการศึกษา
อาจจะคล้ายคลึงกับการไปห้องสมุดที่หาตำรา
วารสาร โดยที่มีบรรณารักษ์คอยให้คำปรึกษา
เพื่อจะได้ข้อมูลและความรู้ที่ต้องการ
การใช้ข้อมูลต่าง ๆ
ในอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียว
เพราะผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่ทันที
สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตได้แม้จะอยู่ต่างสถานที่ก็ตาม
เว้นเสียแต่ว่าในการศึกษาครั้งนั้นมีจุดประสงค์แตกต่างกัน

การใช้แหล่งทรัพยากรในอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา
การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความสัมพันธ์ กับทุกส่วนของการศึกษาเช่นลักษณะการเรียนการสอน หลักสูตร เนื้อหาเวลาเรียน ห้องเรียน ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างรูปแบบของกิจกรรม การอบรม การวิจัย กิจกรรมเสริมอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการใช้อินเทอร์เน็ต
เป้าหมายของการศึกษาในระบบเครือข่าย
กระบวนการทางด้านการศึกษาใช้ระบบเครือข่ายเป็นพื้นฐานในการพัฒนามีการเชื่อมโยงกับมิติทั้ง 3 อันได้แก่
1.) การบริการข้อมูลและสาธารณูปโภค
2.) ความรู้
และทักษะในการใช้บริการทั้งสองเพื่อฝึกฝนและเพื่อวิธีการและจุดประสงค์ที่การศึกษาต้องการไปถึง
3.) เป้าหมายทางการศึกษาที่สูงสุด
ซอฟแวร์เพื่อการศึกษา
02:11 |

ความหมายของซอฟแวร์
การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน
เช่น การซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต
ผู้ขายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบัตร
แล้วส่งข้อมูลของบัตรเครดิตไปยังศูนย์ข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร
การตรวจสอบจะกระทำกับฐานข้อมูลกลาง
โดยมีกลไกหรือเงื่อนไขของการตรวจสอบ
จากนั้นจึงให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธบัตรเครดิตใบนั้น
การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามคำสั่งซอฟต์แวร์
ทำนองเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า
พนักงานเก็บเงินจะใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่งบนสินค้าทำให้บนจอภาพปรากฏชื่อสินค้า
รหัสสินค้า และราคา
ในการดำเนินการนี้ต้องใช้ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้
ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นลำดับขั้นตอนของการทำงาน ชุดคำสั่งเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์อ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตาม ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดทำขึ้น และคอมพิวเตอร์จะทำงานตามคุณลักษณะของซอฟต์แวร์ที่วางไว้แล้วเท่านั้น

ซอฟแวร์เพื่อการศึกษา
เป็นซอฟแวร์ที่สามารถใช้ได้โดยนักเรียนและอาจารย์เพื่อเพิ่มการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม และสร้างเครื่องมือการเรียนรู้
ข้อดีของซอฟแวร์เพื่อการศึกษา
1.สื่อเพื่อการศึกษามีจำนวนมาก มีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาของเยาวชน
2.ขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้พิการ หรือผิดปกติ
3.เข้าถึงได้ง่ายมีรูปแบบที่ยืดหยุ่นกับผู้ใช้ ได้ข้อมูลที่ทันสมัย เยาวชนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
ประเภทของซอฟแวร์เพื่อการศึกษา
ซอฟแวร์เพื่อการบริหาร
-การบริหารจัดการสถานศึกษา
-การบริหารจัดการองค์กรการศึกษา
-การบริหารจัดการส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา
ซอฟแวร์เพื่อการนำไปใช้
-การนำไปใช้ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
-การนำไปใช้ระหว่างผู้ปกครองกับผู้เรียน
-การนำไปใช้ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเองและผู้เรียนกับสังคม
เครือข่ายสังคมออนไลน์
01:47 |

แนวคิดเรื่อง(Social
Network)หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์
มักปรากฎให้เห็นในลักษณะของการนำมาใช้เพื่อดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ
โดยมีตัวบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ
ร่วมกันเป็นเครือข่าย
เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน
แลกเปลี่ยนแบ่งปันทรัพยากร
ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ แต่ปัจจุบันคำว่า(Social
Network)จะหมายถึงระบบเครือข่ายบนโลกออนไลน์
หรือการติดต่อสื่อสารถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตนั่งเอง Wikipedia
(2009) ให้ความหมาย (Social
Network) ว่าเป็นโครงสร้างสังคมที่ประกอบด้วยโหนด(Node)ต่างๆเชื่อมต่อกัน
ซึ่งแต่ละโหนดที่เชื่อมโยงกันก็อาจมีความสัมพันธ์กับโหนดอื่นๆด้วย โดยอาจมีระดับของความสัมพันธ์กัน
มีความซับซ้อน มีเป้าหมาย

เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการศึกษา
พูดถึงสื่อสังคมออนไลน์แล้ว
คนกลุ่มแรกๆ
ที่ผมมักคิดถึงคือกลุ่มเด็กนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มคนยุคใหม่ที่น่าจะมีความสนใจในสื่อประเภทสังคมออนไลน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
คำถามที่ตามมาก็คือบรรดาสถาบันของพวกเขาให้ความสำคัญกับสื่อประเภทนี้มากน้อยขนาดไหน
แล้วจะดีหรือไม่ถ้าบรรดาสถาบันการศึกษาเหล่านั้นหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
นอกจากนี้
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการนำบรรดาสื่อออนไลน์ไปใช้หลากหลายแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศว่าวันนี้จะมีเรียนที่ไหนอย่างไร
อาจารย์เอาเอกสารประกอบการสอนมาแชร์
การถ่ายภาพแบบ 360
องศาของห้องเรียนให้คนภายนอกดู การช่วยให้สถาบันค้นหานักศึกษาที่โดดเด่น
หรือแม้กระทั่งก้าวไปถึงการช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสมีโอกาสในการศึกษแนวคล้ายๆ
กับการศึกษาทางไกล
แน่นอนว่าสถาบันการศึกษาที่นำสื่อสังคมออนไลน์มาใช้คงไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียทุกที่
แต่สถาบันหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จนั้น
มักจะมีลักษณะคล้ายกันอย่างหนึ่ง
นั่นคือการเปิดให้บรรดาครูอาจารย์สามารถเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องในเรื่องต่างๆ
เพื่อไม่ให้การนำสื่อเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด
ในเรื่องนี้หลายส่วนได้ให้ความเห็นว่าการให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือในการเรียนการสอนด้วยการให้แสดงความคิดเห็นจากนักเรียนนักศึกษา
ที่เสมือนกับการสื่อสารตลอดเวลากับครูอาจารย์
ทำให้การเรียนการสอนพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายเป็นเรื่องเนื้อหาหรือ
Content
ที่ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า
นี่คือยุคที่เนื้อหาสาระที่นำเสนอเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ
ยิ่งใครที่มีเนื้อหาที่ดีและมีจำนวนมาก
(ต้องมีทั้งคู่ควบคู่กันไป)
ก็ยิ่งได้เปรียบ
สถาบันที่ประสบความสำเร็จในการบริหารสื่อออนไลน์
สามารถชักชวนให้นักเรียนนักศึกษาเข้ามาสร้างสรรค์เนื้อหาสาระในสังคมออนไลน์
และนี่กลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้สถาบันนั้นๆ
ประสบความสำเร็จ
ตรงกันข้ามกับอีกลุ่มที่พบอุปสรรคมากมาย
อย่างการขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจมาจัดการกับสื่อสังคมออนไลน์
ทำให้สุดท้ายบรรดาผู้ใช้งานอย่างนักเรียนนักศึกษาขาดความเชื่อมั่น
และไม่ใช้สื่อที่สถาบันการศึกษานั้นบริหารอยู่
หรือสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวขาดการทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมหรือผูกพันธ์
ก็จะไม่มีทางได้รับความสำเร็จจากการบริหารสื่อออนไลน์ได้เด็ดขาด สุดท้ายแล้วความสม่ำเสมอในการให้ข้อมูล
สร้างเนื้อหา
หรือติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สถาบันนั้นๆ
ประสบความสำเร็จ แม้แต่
Facebook
ยังใช้เวลานานกว่าที่จะก้าวมาจนถึงจุดที่ยืนอยู่
ณ วันนี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องสร้างความมั่นคง
สม่ำเสมอกับสื่อประเภทนี้ให้ได้
จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
สถิติของเครือข่ายสังคมออนไลน์
สถิติจาก Markingchart.com ในเดือนธันวาคม 2553 พบว่าสถิติอัตราการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คนนิยมใช้มากที่สุดคือ Facebook รองลงมาคือ Youtube และ MySpace ตามลำดับ
และข้อมูลที่น่าสนใจคือผู้หญิงมีสัดส่วนการเล่น Social
Network มากกว่าผู้ชาย
Twitter
ทวิตเตอร์
(Twitter) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก
โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ทวิตเตอร์ก่อตั้งโดยบริษัท Obvious
Corp เมื่อเดือนมีนาคม
ค.ศ. 2006 ที่ซานฟรานซิสโก
สหรัฐอเมริกา
ข้อความอัพเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์และผู้ใช้คนอื่นสามารถเลือกรับข้อความเหล่านี้ทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์
อีเมล์ หรือโปรแกรมเฉพาะอย่าง TweetDesk เป็นต้น
โดยการรับข่าวสารข้อความจากผู้อื่นเรียกว่า “Following” และสำหรับผู้อื่นที่มาติดตามข่าวสารของเราถูกเรียกว่า “Follower”
สำหรับการสื่อสารหรือผู้คุย
สนทนากันผ่านทางทวิตเตอร์นั้นสามารถทำได้โดยการเรียกชื่อ
เช่น
ต้องการกับผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อในระบบว่า “Smith” สามารถทำได้โดยการพิมพ์ @Smith แล้วตามด้วยข้อความที่ต้องการ
เช่น “@Smith สวัสดีครับ”
Facebook
Facebook เป็นบริการเครือข่ายสังคมและเว็บไซต์เปิดใช้งานเมื่อปี
ค.ค. 2004 ก่อตั้งโดยมาร์ก
ซักเคอร์เบิร์ก
ผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว
เพิ่มรายชื่อผู้ใช้อื่นในฐานะเพื่อน
และแลกเปลี่ยนข้อความ
รวมถึงได้รับแจ้งโดยทันทีเมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลส่วนตัว
นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถร่วมกลุ่มความสนใจส่วนตัว
จัดระบบตามสถานที่ทำงาน
โรงเรียน มหาวิทยาลัย
หรืออื่นๆFacebook อนุญาตให้ใครก็ได้เข้าสมัครลงทะเบียนกับ Facebook โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
บทบาทของคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษา
01:25 |
บทบาทของคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา

แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
บทบาทของคิมพิวเตอร์ด้านการเรียนการสอน
คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน
(Computer
Assisted
Instruction) หมายถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในกิจกรรมการเรียนการสอนในเนื้อหาวิชาต่างๆ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน
เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร
ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียน
มากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ
การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ
การเก็บประวัตินักเรียนเฉพาะวิชาที่สอนเพื่อดูพัฒนาการด้านการเรียนและการ
ให้คำปรึกษา
และช่วยในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนของวิชาที่สอน
รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถ
วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียน ได้แก่
การจัดทำสื่อการสอน , การจัดการเรียนการสอนนักเรียน
และรูปแบบ วิธีการสอน โดยการนำ
คอมพิวเตอร์มาช่วย เช่น
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI.
(Computer Assisted Instruction) หรือ
การสอนแบบออนไลน์ ผ่านเวบไซท์ต่างๆ
บทบาทของคิมพิวเตอร์ด้านการบริหาร
การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการบริหาร นับเป็นจุดเริ่มต้นของการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในวงการศึกษา สามารถแยกเป็น 2 ด้าน คือ
1.ในด้านของผู้บริหารสถาบันการศึกษา คอมพิวเตอร์สามารถช่วยผู้บริหารสถาบันการศึกษาในด้านการทำงานต่างๆ เช่น การบัญชี การจัดตารางสอน การเก็บบันทึกข้อมูล เป็นต้น
2.ในด้านการบริหารงานของครูผู้สอน
เนื่องจากครูผู้สอนย่อมต้องมีกิจกรรมในเรื่องต่างๆ
มากมายนอกเหนือไปจากงานด้านสอนปกติ
ได้แก่ งานด้านการเขียน เช่น
การเขียนรายงาน การเตรียมโน้ตย่อบทเรียน
การเตรียมแบบทดสอบ
งานด้านการคิดคำนวณ เช่น
การตรวจและการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน
และงานด้านการเตรียมบทเรียนและการจัดทรัพยากรต่างๆ
เหล่านี้เป็นต้น
งานเหล่านี้ครูผู้สอนสามารถที่จะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานและเก็บข้อมูลได้
เช่น
การใช้โปรแกรมประมวลคำเพื่อพิมพ์เอกสารประกอบการสอนโน้ตย่อบทเรียนเพื่อแจกแก่ผู้เรียนหรือแบบทดสอบต่างๆ
เพื่อบันทึกไว้สำหรับเรียกใช้ในครั้งๆต่อไปได้
หรือการใช้โปรแกรมในการคิดคำนวณคะแนนสอบและเกรด
เป็นต้น
ซึ่งจะทำให้การทำงานเหล่านี้เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและถูกต้อง
บทบาทของคอมพิวเตอร์ด้านการบริการ
คอมพิวเตอร์ด้านการบริการ หมายถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการอำนวยความสะดวกในด้านการบริการต่างๆใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการด้านการบริการเพื่อการศึกษา
ทั้งในระดับโรงเรียน
และมหาวิทยาลัย นั่นก็คือ
การลงทะเบียนวิชาเรียน
การตรวจสอบผลการเรียนผ่านทางเว็บไซต์
การให้บริการข้อมูลทางการศึกษาของทางโรงเรียน
และทางมหาวิทยาลัย
การสืบค้นข้อมูลต่างๆที่เป็นความรู้
เป็นประโยชน์ การสืบค้นหนังสือที่ห้องสมุด
การจองหอพัก การจัดระบบข้อมูลของ
การจัดทำสถิติต่างๆที่เป็นข้อมูลเพื่อการบริการ
เพื่อความสะดวก รวดเร็ว
คล่องแคล่วในการใช้งาน
และเป็นระบบอย่างชัดเจน
นอกจากนี้สถานศึกษายังมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการบริการ
งานบุคลากร การเงิน การบัญชี
การประชาสัมพันธ์ ทะเบียนนิสิตนักศึกษา
ตรวจสอบความถูกต้องในการลงทะเบียน
รายงานผลการเรียน
ประโยชน์
1.คอมพิวเตอร์สามารถเปลี่ยนแปลงจุดเริ่มต้นและจังหวะช้าเร็วของการเรียนการสอน
ให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคนและทุกๆ
คนได้ทันทีทันใด
2.งานซ้ำซากที่ครูไม่อยากทำและไม่น่าจะต้องทำ เช่น จัดทำตารางสอบ รวมคะแนนสอบ จัดลำดับคะแนน คำนวณหาคะแนนเฉลี่ย ครูก็จะไม่ต้องทำ เพราะให้คอมพิวเตอร์ทำแทนได้
3.ครูมีเวลาเอาใจใส่ ช่วยแนะนำแก้ปัญหาด้านจิตใจ ด้านครอบครัว ให้เด็กได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
4.คอมพิวเตอร์สามารถเก็บประวัติผลการเรียนของเด็กทุกคน ทุกวิชา ได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ครูจะจำได้หมด และคอมพิวเตอร์สามารถเสนอรายงานด้านต่างๆเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนให้ครูได้ใช้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วทันใจกว่าที่ครูจะให้เลขานุการช่วยค้น หรือที่ครูจะลงมือทำประวัติเหล่านั้นด้วยตนเอง
5.เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนสนใจได้ แม้ว่าโรงเรียนที่เด็กอยู่นั้น จะไม่มีครูที่มีความรู้ความสามารถจะสอนวิชานั้นๆ ได้
6.เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ได้ง่ายกว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของครู เพราะเครื่องไม่มีความรู้สึกว่าจะเสียเหลี่ยมที่จะต้องยอมรับว่า อะไรที่เคยทำอยู่แล้วนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
7.การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอนอาจจะทำให้ทั้งเด็กและครูเข้าใจความเกี่ยวข้องของวิชาต่างๆมากขึ้น
8.การให้เด็กได้รู้จักการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังอยู่ในโรงเรียน จะเป็นการเตรียมให้เด็กไม่กลัวการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว เพราะในอนาคตนั้นงานทางด้านรัฐบาลและเอกชนก็จะต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น
2.งานซ้ำซากที่ครูไม่อยากทำและไม่น่าจะต้องทำ เช่น จัดทำตารางสอบ รวมคะแนนสอบ จัดลำดับคะแนน คำนวณหาคะแนนเฉลี่ย ครูก็จะไม่ต้องทำ เพราะให้คอมพิวเตอร์ทำแทนได้
3.ครูมีเวลาเอาใจใส่ ช่วยแนะนำแก้ปัญหาด้านจิตใจ ด้านครอบครัว ให้เด็กได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
4.คอมพิวเตอร์สามารถเก็บประวัติผลการเรียนของเด็กทุกคน ทุกวิชา ได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ครูจะจำได้หมด และคอมพิวเตอร์สามารถเสนอรายงานด้านต่างๆเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนให้ครูได้ใช้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วทันใจกว่าที่ครูจะให้เลขานุการช่วยค้น หรือที่ครูจะลงมือทำประวัติเหล่านั้นด้วยตนเอง
5.เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนสนใจได้ แม้ว่าโรงเรียนที่เด็กอยู่นั้น จะไม่มีครูที่มีความรู้ความสามารถจะสอนวิชานั้นๆ ได้
6.เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ได้ง่ายกว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของครู เพราะเครื่องไม่มีความรู้สึกว่าจะเสียเหลี่ยมที่จะต้องยอมรับว่า อะไรที่เคยทำอยู่แล้วนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
7.การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอนอาจจะทำให้ทั้งเด็กและครูเข้าใจความเกี่ยวข้องของวิชาต่างๆมากขึ้น
8.การให้เด็กได้รู้จักการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังอยู่ในโรงเรียน จะเป็นการเตรียมให้เด็กไม่กลัวการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว เพราะในอนาคตนั้นงานทางด้านรัฐบาลและเอกชนก็จะต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น
เเนวโน้มในอนาคต
การเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแบบก้าวหน้า เช่น มีการพัฒนาทุก3ปี และพัฒนาการทางความเร็วของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2 เท่าเมื่อเป็นเช่นนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมี
แนวโน้มที่จะก้าวไปได้อีกมากความฝันหรือจินตนาการต่างๆ
ที่คิดไว้ จะเป็นจริงในอนาคต
พัฒนาการเหล่านี้ย่อมมีบทบาทที่สำคัญต่อการศึกษาอย่างมาก
องค์กรที่ทำหน้าที่ในการวางแผนการศึกษาของชาติ จะต้องให้ความสำคัญกับ
การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเต็มที่
การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
อย่างไรก็ตามการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีราคาค่อนข้างสูง
จึงจำเป็นต้องเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการศึกษา
และวางแผนให้เหมาะสมเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)